อัญมณีตระกูลคอรันดัม (Corundum)
คอลันดัมระดับความเข็ง ระดับ 9 มีหลายสี เป็นพลอยที่มีคุณภาพดีที่สุดประเภทหนึ่งที่นำมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความแข็งและความทนทานต่อการขีดข่วนได้เป็นอย่างดี คำว่า "คอรันดัม" มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า "คูริวินดา" (Kurivinda) รูบี้ (Ruby) และซัฟไฟร์ (Sapphire) มาจากภาษาลาติน ซึ่งมีความหมายว่า สีแดงและสีน้ำเงินพลอยคอรันดัม มีประวัติมายาวนานตามแหล่งกำเนิดของประเทศต่างๆ ด้วยเหตุที่คอรันดัมเป็นพลอยที่มีความนิยมกันมากและราคาสูง จึงได้มีผู้คิดค้นผลิตคอรันดัมสังเคราะห์ขึ้นมา ทำให้ห้องปฏิบัติการ (Laboratory) ต้องมีความละเอียดอ่อนมากขึ้นในการวิเคราะห์แยกพลอยคอรันดัมออกจากคอรันดัมสังเคราะห์ ซึ่งการวิเคราะห์ได้แน่นอนต้องอาศัยตำหนิภายใน (Inclusions) ซึ่งจะเป็นตัวแยกที่ดี การวิเคราะห์คอรันดัมธรรมชาติ
คอรันดัมธรรมชาติ หมายถึงพลอยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีหลายสี ความสะอาดและโครงสร้างผลึกที่ได้มาไม่มีการเสริมเติมแต่งแต่อย่างใด สิ่งที่มนุษย์เติมแต่งได้คือ การเจียระไนและขัดมัน (Cutting+Polishing) เพื่อให้เกิดความสวยงามขึ้นแก่พลอยนั้นๆ
ตำหนิภายใน (Inclusioins) ของคอรันดัมที่ไม่ผ่านการเผา
1. เส้นตรงหักมุมส่วนมากจะเป็นรูปหกเหลี่ยมตามรูปผลึกธรรมชาติ อาจมีเส้นเข็มหรือคล้ายฝุ่นละเอียดๆ อยู่บริเวณเส้นตรงหักมุม เส้นตรงหักมุมอาจะเป็นแถบหนา หรือบางแตกต่างกันไปและจะต้องไม่เป็นเส้นโค้งหรือแถบโค้ง ภายในเนื้อพลอย ถ้าเป็นพลอยก้อนจะเห็นเส้นหักมุมขนานกับหน้าผลึก2. เส้นเข็มรูทิลและเส้นไหม จะก่อตัวเป็นแนวขนานกับผลึก 6 เหลี่ยม ตัดกันทำมุม 60 x 120 องศา บนระนาบเรียบของฐานผลึก
3. ตำหนิของแข็ง (ผลึก) ชนิดต่างๆเช่น เซอร์คอน (Zircon) คาลไซด์ (Calcite) ยูเรเนียม โพโรโคร (Cranium Pyrochiore) ไมก้า (Mica) อะพาไทท์ (Apatite) สปินิล (Spinel) เป็นต้น จะเห็นรอยตำหนิชัดเจน
4. ตำหนิของเหลวหรือก๊าซที่อยู่ในท่อกลวง เรียกว่าผลึกกลวงใส (Negative Crystals) อาจเป็น 2 หรือ 3 สถานะ (2-hase or 3 Phase) ก็ได้
5. รอยตำหนิของเหลวในรูปแบบต่างๆ ส่วนมากจะเห็นเป็นรอยนิ้วมือ (Fingerprint) หรือเป็นแพขนนก (Feather) ซึ่งเป็นการเรียกรอยแตกต่างๆภายในลักษณะที่เห็นอาจเป็นม่นพริ้วบางๆ (Wispy) มักดูคล้ายฟลักซ์ (Flux) ในพลอยสังเคราะห์ แต่อย่างไรก็ตาม เราอาจสังเกตุเห็นผิวของพลอยมักจะมีรอยตำหนิของเหลวติดอยู่ ถ้าพูดถึงพลอยธรรมชาติรอยตำหนิเกิดขึ้นต้องใช้เวลายาวนาน
6. โพลี่วินเทติก ทวินนิ่ง (Polysynthetic Twinning) เส้นระนาบแฝดตามแนวหน้าผลึกรอมโบฮีดรอน Rhombohedron) ตัดกั 87 x 93 องศา ซึ่งจะเห็นจากหน้าพลอยได้หลายทางด้วยกัน
7. เส้นเข็มโบไมท์ (Boehmite) มีลักษณะยาวสีขาวอาจตัดหรือไม่ตัดกันบนระนาบแฝด ทิศทางและมุมจะอยู่ตรงกับแนวรอมโบฮีดรอน (Rhombohedron)
8. รอยแยก (Parting) ตามแนวฐานผลึก (Basal Plane) และแนวรอมโบฮีดรอน
9. สเปคตรัมของพลอยคอรันดัม ถ้าเป็นซัฟไฟร์สีน้ำเงิน เขียว เหลือง ที่มาจากไทย ออสเตเลีย มักจะพบเส้นดูดกลืนชัดเจนที่ 4500 4600 4700 น.อ. (ถ้าพลอยผ่านการเผามาอาจจะมีผลให้การดูดกลืนอ่อนลงได้) ถ้าเป็นพลอยมาจากซีลอนมักจะไม่มีเส้นดูดกลืนนี้เพราะส่วนใหญ่แล้วพลอยจะผ่านการเผามาแล้วทั้งสิ้น ส่วนของพม่าอาจพบแค่เส้น 4500 น.อ. หรือไม่มีสำหรับทัมทิมจะเป็นธาตุโครเมียม (Chromium) สเปคตรัมจะเหมือนกันทุกแหล่งรวมทั้งพลอยสังเคราะห์ด้วย
ตำหนิภายใน (Inclusions) ของคอรันดัมที่ผ่านการเผา
1. เส้นไหมที่สลายตัว (Partially Dissolved Silk) การใช้ความร้อนในการเผามีผลทำให้เส้นไหมแตกออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ดูเหมือนฝุ่น แต่ยังคงโครงสร้างเป็นเส้นไหมตัดกัน บางครั้งดูเหมือนหมอกหนาๆ สีขาวเกาะกันเป็นกลุ่มๆ เห็นได้ชัดในพลอยที่เผาแล้ว (โดยเฉพาะพลอยจากซีลอน) หมอกหนาๆนี้อาจเกาะกันและเรียงตัวตามแถบสีอยู่ขนานกับหน้าผลึกพลอย2. ผลึกกลวง (Nagative Crystals) ซึ่งอาจเกิดจากผลึกต่างๆแตกออกเนื่องจากได้รับความร้อนขณะเผาพลอย รูปร่างอาจเป็นจุดเล็กๆ คล้ายโดนัท เนื่องจากการเกาะกลุ่มกันของผลึกเมื่อเย็นตัวลง มักจะพบในพลอยของไทยและกัมพูชา
3.ผลึกล้อมรอบด้วยรอยแตกวาวเป็นรูปวงแหวน (Tension Haloes) วงแหวนนี้เป็นรอยแตกที่เกิดจากการขยายตัวของผลึกเมื่อได้รับความร้อน
4. จะไม่เห็นร่องรอยสนิม (Iron Stain) สีส้ม-แดงในรอยแตกของพลอย โดยเฉพาะคอรันดัมของไทย/กัมพูชา รอยสนิมนี้มักเห็นได้ในพลอยที่ยังไม่เผาเนื่องจากใต้ดินจะมีแร่เหล็กมาก ดังนั้นอาจแทรกติดอยู่ในพลอยคล้ายรอยสนิมแต่ธาตุเหล็กจะหายไประหว่างทำการปรับปรุงคุณภาพพลอยเช่น การเผาเป็นต้น
5. พลอยบางชนิดเวลานำเข้าเครื่องอุลตร้าไวโอเลท ผลลัพธ์ของการเรืองแสดงอาจจะแตกต่างกันได้ ถ้าผลอยถูกเผาด้วยความร้อนมักจะเห็นเป็นสีขาวขุ่นๆ หรืออกสีน้ำเงินขุ่นๆ
6. พลอยสีเหลืองหรือสีส้มที่ผ่านการเผา บางครั้งจะเป็นสีน้ำตาล หรือสีที่เข้มกว่าเก่า แต่เมื่อพลอยเย็นตัวลงสีจะกลับสู่สีเดิม วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลที่ดีวิธีหนึ่งสำหรับการเช็คพลอยเผาของศรีลังกา
7.แถบสีของพลอยที่ถูกเผาแล้วจะเห็นชัดเจนและดูคล้ายมีฝุ่นเกาะเป็นกลุ่มเป็นหย่อมๆถายในระหว่างแถบสี
8. แผลเป็นหลุมที่ผิว รอยธรรมชาติ (Natural) และบริเวณที่ไม่ถูกเจียระไนอาจจะเห็นร่องรอยการเผาหลงเหลืออยู่ซึ่งสามารถมองเห็นได้โดยใช้ฟลูออเรสเซ็นส์ (ไฟขาว) สำหรับพลอยทับทิมพม่าที่ยังไม่เผา บางครั้งอาจเห็นตำหนิคล้ายคลื่นความร้อนบริเวณของผิวพลอย
คอรันดัมที่ผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพ (Enhancement)
1. การเผา (Heat Treatment) จุดประสงค์เพื่อเพิ่มหรือถอยสี ทำให้พลอยโปร่งใสขึ้น ทำให้สตาร์ดูชัดขึ้น
2. การฉายสี (Irradiation) อาจทำให้พลอยเปลี่ยนจากสีเหลืองอ่อนเป็นเหลืองเข้ม แต่สีที่ได้จะไม่ถาวร
3. การซ่านสี (Diffusion) สามารถซ่านสีเข้าไปในพลอยได้เฉพาะผิวภายนอกเท่านั้น การซ่านสีทำให้พลอยดูมีสีเรียบทั้วทั้งเม็ดหรืออาจทำให้มีสตาร์ (Asterism) แต่สีที่อยู่ผิวนอกจะหายไปเมื่อถูกเจียระไน
สตาร์คอรันดัม (Star Corundum)
ทับทิมและซัฟไฟร์แบบที่มีปรากฏการณ์สตาร์ได้รับความนิยมกันมาก สตาร์เกิดขึ้นจากตำหนิเส้นเข็มรูทิลภายในผลึกคอรันดัมเรียงตัวกันเป็นระนาบมากกว่า 1 ระนาบและตัดกัน เมื่อใช้แสงส่องดูแสงจะสะท้อนจากตำหนิเป็นเป็นแฉกหรือสตาร์ (Start) พลอยชนิดนี้จะต้องเจียระไนเป็นหลังเบี้ยเพราะจะทำให้เห็นเส้นสีขาวตัดกัน เห็นเป็น 6 แฉกชัดเจนบนด้านที่เป็นโดมโค้ง ราคาพลอยขึ้นอยู่กับสีและความคมชัดของสตาร์ซึ่งต้องได้สัดส่วนสวยงามชนิดของสตาร์ขึ้นอยู่กับสีโดยแบ่งออกเป็น
สตาร์ทับทิม (Star Ruby)
สตาร์ทับทิมจะมีสีแดง ถึงแดงอมม่วง โทนสีตั้งแต่อ่อนถึงเข้มลักษณะโปร่งใสถึงทึบแสง สตาร์ทับทิมที่สวยงามจะต้องมีลักษณะดังนี้1. การเจียระไน ความหนาของ Girdle ลงมามีน้ำหนักไม่เกิน 1/4 หรืออาจน้อยกว่า ของน้ำหนักทั้้งหมด
2. สีจะต้องเสมอและเข้มสด กึ่งโปรงใส
3. สตาร์ มีขาที่คมและชัดอยู่ระหว่างกึ่งกลางของพลอยและขาจะต้องจรด Girdle ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง เส้นสตาร์สามารถเคลื่อนไปมาและดูลึก
สตาร์ซัฟไฟร์ (Star Sapphires)
สตาร์ซัฟไฟร์ ชนิดเรียกตามสีของพลอย ลักษณะกึ่งโปรงแสงถึงทึบแสง สตาร์ซัฟไฟร์น้ำเงิน (Blure Start Sapphires) สตาร์ซัฟไฟร์ดำ (Black Star Sapphires) ถือว่าธรรมดาที่สุด ซัฟไฟร์สีส้ม เหลือง ไม่มีสตาร์ ส่วนสตาร์ซัฟไฟร์เขียวมีบ้างแต่หายาก แต่ถ้าขาสตาร์เป็นสีทองในพลอยสีดำจะมีค่ามากกว่าขาสีขาวคนไทยเรียกว่าสตาร์บุษ (Golden Star) มีความเชื่อกันว่าขาของสตาร์เป็นตัวแทนของศรัทธา ความหวัง และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ราคาพลอยขึ้นอยู่กับสีและความชัดของสตาร์ซึ่งต้องได้สัดส่วนสวยงาม ลักษณะสตาซัฟไฟร์ที่ดีต้องมีดังนี้1. การเจียระไน ความหนาของ Girdle ลงมาได้ประมาณ 1/4 ของน้ำหนักทั้งเม็ด
2. สี กึ่งโปรงใส สีเสมอและเข้มสด
3. สตาร์ สามารถเห็นได้ง่ายและชัด อยู่ระหว่างกึ่งกลางของพลอยขาของสตาร์จะต้องจรดจาก Girdle ด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง สตาร์เคลื่อนไปมาได้และดูลึก
ชนิดและชื่อทางการค้า
ทับทิม (Ruby)ไพลิน (Blue Sapphire)
บุษราคัม (Yellow or Golden Sapphires)
พัดพารัดชา (Padparadscha)
ไฮยาธินธ์ (Hyacinth)
เขียวส่อง (Green Sapphires)
ซัฟไฟร์ม่วง (Amethystine Sapphires)
ซัฟไฟร์ชมพู (Pink or Rose Sapphires)
ซัฟไฟร์คล้ายอเล็กซานไดรท์ (Alexandrite-like Sapphires)
ซัฟไฟร์ไร้สี (Colourless Sapphires)
พลอยสตาร (Star Supphires)
ที่มาข้อมูลจาก
รูปภาพจากGoogle